ข่าวล่าสุด ตรวจหวย ดูดวง
สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ
Maesai.net

ตำนานเวียงศรีทวง เมืองแรกแห่งลุ่มน้ำสาย

11 Dec 2025 | 16:38 น. | 15 ครั้ง
ตำนานเวียงศรีทวง เมืองแรกแห่งลุ่มน้ำสาย

นานมาแล้ว… นานเสียจนกาลเวลาลืมเล่า และลมเหนือก็แทบไม่เหลือเสียงของวันวาน
ในดินแดนที่ปัจจุบันกลายเป็นอำเภอแม่สาย–แม่จัน ยังเคยมีเมืองหนึ่งซ่อนตัวอยู่กลางผืนป่ากว้าง
เมืองนั้นชื่อว่า เวียงศรีทวง หรือที่ชาวบ้านบางคนเรียกเบาลมว่า เวียงสี่ตวง
เมืองนี้คือเวียงแรกแห่งผู้คนไทที่เข้ามาแตะดินแดนลุ่มน้ำสาย เป็นรากเหง้าที่คนรุ่นหลังไม่ทันได้รู้จัก แต่แผ่นดินยังจดจำอยู่

กษัตริย์ผู้มากับช้างคู่บารมี

ว่ากันว่าสมัยนั้นมีพระมหากษัตริย์เชื้อสาย สิงหนวัติ เสด็จนำผู้คนลงมาจากดินแดนสูง
พระองค์มิได้เสด็จลำพัง หากมี ช้างคู่บารมีสองเชือก เดินนำหน้า
ช้างทั้งสองมีดวงตาสุกใส รู้ภาษาลม รู้รสน้ำ และรู้ว่าตรงไหนที่ผืนดินยังพร่างพราวด้วยความอุดมสมบูรณ์

ตำนานเล่าว่า เมื่อขบวนอพยพเดินผ่านป่าหมิ่นหมอกแถบแม่สาย
ช้างคู่บารมีได้หยุดลงกลางทุ่งหญ้าอันแผ่กว้าง หันหน้าตรงไปยังเทือกเขายาวที่ตั้งมั่นดั่งผู้พิทักษ์
เสียงกู่ร้องเบา ๆ ของช้างดังก้องไปในอากาศราวเป็นสัญญาณจากฟ้า

กษัตริย์สิงหนวัติทอดพระเนตร และตรัสว่า
“แผ่นดินนี้เลือกเราแล้ว”

การสร้างเวียงศรีทวง


เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี ผู้คนก็ต่างร่วมแรงกัน
ตักดินขึ้นเป็นกำแพงเวียง ขุดคูน้ำล้อมเมืองให้มั่น
วางตำแหน่งเสาหลักเมืองตามดาวเหนือ
และตั้งศาลบูชาวิญญาณแห่งผืนป่าที่เคยปกป้องพวกเขามาตลอดทาง

เมืองใหม่ตั้งชื่อว่า เวียงศรีทวง
บางผู้รู้ว่าคำนี้หมายถึง เวียงศรีแห่งการทวงคืนความรุ่งเรืองของเชื้อสายเก่า
บางคนก็ว่า สี่ตวง มาจากปริมาณข้าวที่ผู้คนร่วมกันถวายเป็นสิริมงคลแก่เมือง

ไม่ว่าความหมายแท้จริงจะเป็นเช่นไร เมืองนี้คือจุดกำเนิดแห่งความหวัง

รุ่งเรืองกลางผืนป่าและลำน้ำ


เมืองเวียงศรีทวงรุ่งเรืองด้วยน้ำใสจากแม่สาย แม่จัน
ที่หล่อเลี้ยงท้องทุ่ง นาข้าว และผู้คนที่รู้จักผืนดินอย่างลึกซึ้ง
เสียงฆ้องกลองของงานประจำปีดังสะท้อนกลางเวียง
และในทุกค่ำคืน ช้างคู่บารมียังคงยืนสงบอยู่เคียงวัง
ดั่งผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองเมืองไม่ให้ใครมารุกราน

ผู้คนเล่าว่า หากปีใดเกิดภัยแล้ง
ช้างคู่บารมีจะเดินออกจากคอก หันงวงชี้ทางไปยังแหล่งน้ำใหม่
ผู้คนจึงเชื่อว่า วิญญาณแห่งผืนป่าและสรรพสัตว์ล้วนเป็นใจให้เมืองนี้อยู่เย็นเป็นสุข

การเลือนหายไปในกาลเวลา

แต่ทุกเวียงย่อมมีวาระของตนเอง
เมื่อยุคสมัยแปรเปลี่ยน ผู้คนอพยพต่อไปยังที่ราบเชียงแสนและลุ่มน้ำกก
เวียงศรีทวงค่อย ๆ เงียบงัน
กำแพงดินถูกกลืนด้วยรากไม้
คูน้ำกลายเป็นลำห้วยเล็ก ๆ
และเสียงช้างคู่บารมีก็กลายเป็นเพียงลมเหนือที่พัดผ่าน

เหลือเพียงชื่อในตำนาน กับร่องรอยบางเบาในผืนดิน
ที่บอกแก่คนรุ่นหลังว่า
ก่อนจะมีเวียงพางคำ ก่อนจะมีเชียงแสน ก่อนจะมีล้านนา
ดินแดนนี้เคยมีเมืองหนึ่งตั้งมั่นอยู่ก่อน
เมืองของผู้คนที่ตามช้างมาจนพบความรุ่งเรืองในผืนป่าทางเหนือ

คำกล่าวปิดตำนาน

ผู้เฒ่าในหมู่บ้านแถบแม่สายยังคงเล่าต่อกันว่า
"หากคืนใดหมอกลงหนา แล้วได้ยินเสียงกู่ของช้างในลม
นั่นอาจไม่ใช่เพียงเสียงลม…
แต่เป็นเสียงของเวียงศรีทวงที่ยังไม่ลืมผู้คน
และไม่เคยถูกลืมจากผืนแผ่นดิน"